เส้นทาง ‘สถาปนิกสุดครีเอทีฟ’ สู่ความสำเร็จ ดังนั้นจะมาเป็น ‘บ้านไร่’ ที่เหมือนกันไม่ได้
เขาหอบองค์ความรู้ ‘สถาปัตย์’ จาก มทร.ธัญบุรี และ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ กลับถิ่นฐาน จ.ระนอง ต่อยอดเป็น “บ้านไร่ไออรุณ” ล่าสุดขยายความสำเร็จเสิร์ฟความเป็นระนองสู่กรุงเทพ “บ้านไร่สตูดิโอ” และภูเก็ต “บ้านไร่ไอทะเล”
“บ้านไร่ไออรุณ” สุดยอด ‘แลนด์มาร์ค’ จ.ระนอง ที่ติดอันดับและเป็นหมุดหมายปลายทางของผู้คนเพื่อท่องเที่ยวและพักผ่อนแบบแนบชิดธรรมชาติที่เติบโตแบบก้าวกระโดด สร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังสร้างความน่าสนใจในทุกแง่มุมด้วยความคิดสร้างสรรค์จากสิ่งที่มีอยู่เดิม ปัจจุบันมีบริษัทออกแบบเป็นของตัวเอง และยกกลิ่นอายบ้านไร่จากระนอง สร้างเป็นคาเฟ่ที่กรุงเทพฯ ชื่อ “บ้านไร่สตูดิโอ” และใน จ.ภูเก็ต ด้วยชื่อ “บ้านไร่ไอทะเล” ทั้ง 2 แห่งนี้ก็ติดอันดับความนิยมในโลกโซเชียล แม้จะเปิดได้เพียงไม่ถึง 10 เดือน
วิโรจน์ ฉิมมี (เบสท์) เจ้าของและผู้ก่อตั้งบ้านไร่ไออรุณ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) บอกเล่าหลายแง่มุมที่ชวนยกเป็นแรงบันดาลใจ และเขายังชวนทุกคน “กลับบ้าน กลับถิ่นฐานที่เราเกิด เพื่อไปหาคนที่เรารัก ขณะที่พวกเขายังมีแรง และยังโอบกอดเราได้อยู่”
ทุกความสำเร็จเริ่มที่ ‘ตัวเอง’ – เบสท์ บอกว่าจุดเริ่มต้นความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ คิดว่าเริ่มต้นจากตัวเราเองเป็นสิ่งแรก หากเราไม่ลงมือ ไม่ทำ หรือปล่อยให้เวลาผ่านไป มันก็ไม่มีอะไรประสบความสำเร็จได้ และถ้าจะให้ตอบ อีกคำตอบหนึ่งนั่นคือความคิดสร้างสรรค์ คิดต่างมุม หรือการคิดหาโซลูชันบางอย่างมาบริหารจัดการ เพื่อให้สิ่งที่ทำอยู่ดำเนินต่อไป ไปต่อได้หรือมีความเข้มแข็งในท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ค่อนข้างยากต่อการคาดเดา
อย่างที่บ้านไร่ไออรุณ จ.ระนอง หากจะบอกว่าเป็นเพราะพื้นที่โลเคชั่นถึงประสบความสำเร็จ มันก็คงไม่ใช่ เพราะตรงนั้นเป็นพื้นที่ทำการเกษตรเดิมของพ่อกับแม่ที่ทำมาก่อนแล้ว ถ้าไม่มีความสร้างสรรค์เข้าไปในพื้นที่ ตรงนั้นก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไม่จากเดิม และคำว่าสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเยอะ ไม่ต้องใช้ของที่แพงกว่า หรือจะต้องเปลี่ยนความดั้งเดิมของพื้นที่ให้เป็นรูปแบบอื่น แต่เราต้องเพิ่มมูลค่าของที่มีอยู่ ให้มันพิเศษกว่าเดิม “ความสร้างสรรค์เริ่มจากตัวเราก่อน เราต้องมองหา และเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี แล้วค่อยเพิ่มมูลค่าเข้าไป” ดังนั้นจึงทำให้บ้านไร่ไออรุณติดอันดับความนิยมจนทุกวันนี้ และยังเคยได้รับโอกาสที่ดีในการรับรองบุคคลสำคัญมาแล้ว
เมื่อเรียนจบปริญญาตรี – หลังจากเรียนจบสถาปัตย์ บวกกับประสบการณ์การทำงานที่กรุงเทพด้านสถาปนิก ความคิดเรื่อง ‘การกลับบ้าน’ ก็ผุดขึ้นมาในหัว จนวันหนึ่งได้พาตัวเองกลับบ้าน และคิดว่าการกลับบ้านที่ระนองในครั้งนั้น เรากลับไปพร้อม Passion บางอย่างและยังมีความครีเอทีฟส่วนหนึ่งที่ติดเรา อยู่ในสายเลือดเรา จากสิ่งที่เรียนและประสบการณ์ต่าง ๆ มาพัฒนาพื้นที่ ก่อร่างสร้างเป็นบ้านไร่ไออรุณ ซึ่งหลายคนมองว่า “ไม่สามารถเป็นรีสอร์ทได้ ไม่สามารถเป็นร้านอาหารหรือคาเฟ่ได้” แม้จะขอกู้เงิน ขอสินเชื่อธนาคาร เขายังปฏิเสธด้วยเหตุผลประเมินแล้วว่า “เป็นไปไม่ได้” หลายสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นแรงผลัก ปลุกพลังนักสู้ จนมีวันนี้และเติบโตต่อเนื่อง
‘ลุก’ เพื่อเริ่มต้น – ในช่วงนั้นไม่ได้มีเงินทุนที่มากพอ เราจึงใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมทั้งหมด ขยับขยายภายใต้การวางแผนว่าเราจะทำอะไรก่อนหลัง แต่เราได้ลงมือทำ ได้ลองผิดลองถูก ซึ่งมันใช้พลังเยอะมากในช่วงแรก โดยเฉพาะการทำให้ตัวเองลุกขึ้นมาจัดการตนเอง ควบคุมตนเอง ช่วงนั้นรายได้หลักมาจากขายพืชผักสวนครัว รวมถึงผลไม้แปรรูป ซึ่งมีทั้งขายหน้าร้าน ตลาดแผงผัก รวมถึงออนไลน์บางส่วน ขณะเดียวกันเราใช้การสื่อสารผ่านเพจ Facebook เพื่อบอกเล่าในสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราคิด และมีคนเข้ามาชม กดติดตามมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเบสท์อธิบายว่า อาจเป็นเพราะสิ่งที่เราสื่อสารออกไปนั้น ‘ชัดเจน’ และมีความเป็นตัวตน
ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราจึงเริ่มเปิดเป็นที่พัก มีคนให้ความสนใจ เข้ามาเที่ยวชมและใช้บริการมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่เราที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างเดียว ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ยังร่วมถ่ายทอดบอกเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ร่วมด้วย ดังนั้นสามารถพูดได้เลยว่า สื่อสังคมออนไลน์ของเรานั้นมีความแข็งแกร่ง เราใช้วิธีการสื่อสารและเล่าเรื่องผ่านสื่อด้วยความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ทำให้เริ่มมีรายได้อย่างชัดเจน ชีวิตดีขึ้น และได้รับความเชื่อมั่นจากครอบครัวและทีมงาน เราจึงเริ่มจ้างงานจากคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง และผู้คนในชุมชน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ความเป็นแบรนด์บ้านไร่ฯ เติบโต ยืนหยัด ขยายพัฒนา และต่อยอดมาได้จนถึงวันนี้
สำหรับคาเฟ่ที่ได้เปิดตัวไปทั้ง 2 แห่งนี้ก็ติดอันดับความนิยมในโลกโซเชียล ก็อยากขอบคุณทุกการมีส่วนร่วมของลูกค้า และผู้ติดตามทุกท่านที่ทำให้เรายังคงอยู่ในความนิยม ซึ่งเราได้เน้นการเป็นลีฟวิ่ง สเปซ ให้ทุกคนได้มานั่งเล่น พักผ่อน พบปะ พูดคุยและใช้เวลาร่วมกัน ทั้งเน้นการสร้างบรรยากาศให้มีกลิ่นอายของบ้านไร่ไออรุณ“อาจจะไม่ได้เหมือนกับที่ระนองได้ทั้งหมด แต่บรรยากาศ วัสดุและการตกแต่ง รวมถึงหลายเมนูอาหารและเครื่องดื่ม ยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายของบ้านไร่ไออรุณ” เบสท์อธิบาย
อนาคตอันใกล้ – ตอนนี้เรามีบริษัทเป็นของตนเองเพื่อการออกแบบร้านอาหาร คาเฟ่ รีสอร์ท และที่พักอาศัย ซึ่งมีน้อง ๆ นักศึกษาให้ความสนใจสมัครเข้าฝึกงาน ฝึกประสบการณ์วิชาชีพทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จาก มทร.ธัญบุรี จำนวน 4-6 คน มั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์ที่ถูกบ่มเพาะนี้จะเติบโต แข็งแรง สามารถให้ร่มเงาต่อไปได้ในแบบฉบับที่เป็นตัวของตัวเอง อนาคตต่อจากนี้ อยากที่จะนำกลิ่นอายบ้านไร่ไออรุณจากระนอง ส่งต่อไปยัง จ.ขอนแก่น และ จ.เชียงใหม่ เพื่อสร้างพื้นที่ที่พักใจสำหรับคนที่ไกลบ้านและนักท่องเที่ยวในรูปแบบของธุรกิจคาเฟ่
ผลที่เกิดขึ้นทั้งหมด – เจ้าของและผู้ก่อตั้งบ้านไร่ไออรุณ สรุปให้ฟังว่า ในการพัฒนาบ้านไร่ไออรุณและการขยายธุรกิจไปยังกรุงเทพ ภูเก็ตและอื่น ๆ ส่งผลให้มีการจ้างงานในพื้นที่ใกล้เคียงและท้องถิ่น สร้างรายได้และโอกาสในการทำงานให้กับชุมชน ผลสำคัญถัดมาก็คือทำให้เมือง/ชุมชนน่าอยู่ และได้รับความสนใจมากขึ้น เกิดการพัฒนามากขึ้น เรานำทรัพยากรในท้องถิ่นและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาเป็นธุรกิจที่สามารถเจริญเติบโตได้ในระยะยาว ช่วยสร้างชุมชนที่มีความยั่งยืน ขณะเดียวกันเรายังใช้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ การเน้นการพัฒนาโดยไม่เปลี่ยนแปลงความดั้งเดิมของพื้นที่ และการใช้วัสดุที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในท้ายที่สุดก็เกิดความเป็นอยู่ที่ดี ชีวิตดี และยังช่วยเสริมคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ข้อคิดประการหนึ่ง – เบสท์ยังเผยความรู้สึกที่ว่าดีใจอย่างยิ่งที่บ้านไร่ไออรุณเป็นจุดที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้คนฉุกคิด โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดที่มาใช้ชีวิตต่างถิ่นต่างแดน ให้พวกเรามีความรู้สึกอยากจะกลับบ้าน กลับถิ่นฐานบ้านเกิดของตน เนื่องจากเวลาเดินหน้า และไม่มีใครหยุดเวลาได้ ดังนั้นอยากทำอะไรควรรีบทำ เมื่อมีโอกาสในการกลับบ้าน ก็ควรต้องกลับ เพราะคนที่บ้านรอเราอยู่ ดังนั้น อยากให้ทุกคนกลับบ้าน กลับไปหาพ่อกับแม่ กลับไปหาคนที่เรารักแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ขณะที่พวกเขายังมีแรง และยังโอบกอดเราได้อยู่
และยังเน้นย้ำว่า บ้านเป็นสถานที่ ที่เรารู้สึกปลอดภัยและได้รับความรักจากครอบครัว การกลับบ้านช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว สามารถพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกาย จิตใจจากทุกความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดขึ้น จึงอยากให้ทุกคนได้กลับบ้าน และให้เวลากับคนที่บ้าน กลับไปสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกับคนที่เรารัก กลับไปเพื่อพัฒนาต่อยอดบ้านเกิด สร้างในสิ่งที่ดีกว่า เพื่อคุณภาพชีวิตของเรา ครอบครัว รวมถึงคนรอบข้างที่ใกล้เคียง
ล่าสุด เบสท์ยังขึ้นเวทีสำคัญในงานวันสหกิจศึกษาบูรณาการกับการทำงาน (CWIE DAY) ครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2567 THE NEXT CWIE’s FUTURE : พัฒนาคนตอบโจทย์พัฒนาประเทศกับ CWIE ในการเป็นวิทยากรพิเศษ บอกเล่าเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับการฝึกงาน ที่เป็นแต้มต่อของการทำงานในฐานะศิษย์เก่าสร้างชื่อของ มทร.ธัญบุรี และคำว่า เสน่ห์บ้านไร่ฯ ของเบสท์ คงยังไม่พอต่อการถ่ายทอดได้ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นสามารถติดตามความเคลื่อนไหว เพื่อหาแรงบันดาลใจ ฮีลใจผ่านช่องทางการสื่อสารหลัก ได้ที่ https://www.facebook.com/baanraiiarun
#specialcontent
#50Years50AchieversRMUTT
#50ปี50นวัตกรรม50ความสำเร็จราชมงคลธัญบุรี
เรื่อง/ฝ่ายข่าว กองประชาสัมพันธ์ มทร.ธัญบุรี
ภาพ/ฝ่ายผลิตและเผยแพร่ กองประชาสัมพันธ์ มทร.ธัญบุรี
และขอบคุณภาพภาพจาก https://www.facebook.com/baanraiiarun
และ https://www.facebook.com/CWIEDay2024