สอศ.ผนึก3สถาบันพัฒนาอาชีวะวิทย์ฯ
กระแสรณรงค์เรื่องการลดการใช้ถุงพลาสติกถุงหูหิ้ว เป็นวิธีหนึ่งที่ จะช่วยลดปัญหาขยะของเมืองไทย ลงได้ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถแปรรูปขยะจากถุงพลาสติกให้กลายเป็นรายได้ของผู้สูงอายุ
แม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่า ‘การคัดแยกขยะ’ เป็นการบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง แต่การทำให้ขยะไร้ค่า เหล่านี้มี ‘มูลค่าที่จับต้องได้’ ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะ ‘ขยะพลาสติก’ ที่ปัจจุบันมีราคาและมี การรับซื้อเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น
หมู่บ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 10/2 ม.3 ต.บึงสนั่น อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี มีประชากรอาศัยรวมกันกว่า 3,000 คน โดยในชุมชนแห่งนี้มีขยะเกิดขึ้นประมาณ 1-1.6 ตันต่อวัน เป็นขยะรีไซเคิลได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งชุมชนแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการคัดแยกขยะ โดยมี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมกันจัดตั้งธนาคารขยะเพื่อเป็น จุดรับซื้อขยะจากคนในชุมชน ด้วยการรวบรวมขยะพลาสติก และขยะมีค่าอื่นๆ ขายให้กับคนที่มารับซื้อ ซึ่งแม้จะช่วยลดปริมาณขยะที่เทศบาลเข้ามาจัดเก็บได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็ยังมีขยะอีกประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้หรือไม่คุ้มค่ากับการรีไซเคิล เช่น ถุงพลาสติก กล่องโฟม กระดาษชำระ รวมถึงโดยเฉพาะถุงหูหิ้วที่ได้จาก ร้านสะดวกซื้อหรือโมเดิร์นเทรด ที่หากไม่ถูกทิ้งรวมไปกับขยะอื่นๆ ก็มักจะใช้เป็นถุงใส่ขยะและสุดท้ายก็จะกลายเป็นขยะอยู่ดี
คำถามคือ ถุงพลาสติกหูหิ้วเหล่านี้ จะมีค่ามากกว่าการเป็นถุงขยะได้หรือไม่
ผศ. วรุณศิริ จักรบุตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) บอกว่า ขยะพลาสติกประเภทฟิล์มต่างๆ เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่แกง ถุงใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ถุงขนมคบเคี้ยวต่างๆ รวมถึงซองกาแฟ ฯลฯ นอกจากจะมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และบดให้มีขนาดเล็กเพื่อเข้าสู่กระบวนรีไซเคิลพลาสติกได้ยากแล้ว ส่วนหนึ่ง ยังมีการเติมสีลงในเนื้อพลาสติกเพื่อ การพิมพ์ลายให้สวยงาม น่าใช้ หรือ บางชนิดก็มีการลามิเนตด้วยฟิล์มอะลูมิเนียมลงไปด้วย ทำให้กลุ่มพ่อค้าที่รับซื้อขยะไม่สนใจรับซื้อ เนื่องจากไม่สามารถส่งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกได้ พลาสติกเหล่านี้จึงกลายเป็นปัญหาของการคัดแยกขยะในหลายๆ ชุมชน
ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับคนในชุมชนฯ และ กลุ่ม อสม.ประจำหมู่บ้าน ที่มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มรีไซเคิล เพื่อหาวิธีแปรรูปถุงพลาสติกหูหิ้วเหล่านี้ให้มีมูลค่ามากขึ้น มหาวิทยาลัยซึ่งมีองค์ความรู้เรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์อยู่ จึงเสนอแนวคิดเรื่องการแปรรูปถุงพลาสติกมาเป็นแผ่นลามิเนตที่สามารถนำไป ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลายชนิด ซึ่งคนในชุมชนก็เห็นด้วย และ ต่อยอดเป็น ‘โครงการแผ่นลามิเนตจากขยะถุงพลาสติก’ ภายใต้ทุนวิจัยท้าทายไทย กลุ่มเรื่องนวัตกรรมทางความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่ โดย การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อพัฒนาเทคนิคการผลิตแผ่นลามิเนตจากถุงหูหิ้วที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีแผ่นลามิเนตเป็นวัตถุดิบหลัก
ทั้งนี้ นักวิจัยร่วมในโครงการฯ ดร.กุลวดี สังข์สนิท กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงแรกของการทำวิจัย เป็นการศึกษาคุณสมบัติของถุงหูหิ้วที่มีอยู่ในท้องตลาด จากนั้นจึงทำการพัฒนาเครื่องอัดความร้อน ที่สามารถอัดให้ถุงหูหิ้ว 2-5 ชั้น ผสานเป็นแผ่นลามิเนตเนื้อเดียวกันได้ง่ายๆ พร้อมทั้งทดสอบพบว่าแผ่นลามิเนต ดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ทนต่อแรงดึง แรงฉีกมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังมี การพัฒนาเทคนิคการเคลือบแผ่นลามิเนต บนชิ้นผ้า ที่ทำให้ได้แผ่นลามิเนตที่มีลวดลายสวยงามมากยิ่งขึ้น เมื่อได้ผล การวิจัยที่ชัดเจนแล้ว ทางทีมวิจัยจึงได้จัดให้มีการอบรมการใช้เครื่องดังกล่าวให้ กับคนในชุมชน กลุ่ม อสม. และผู้สูงอายุ ให้สามารถผลิตแผ่นลามิเมตจากถุงหูหิ้วได้เอง
“เหตุผลที่ทีมวิจัยต้องการให้คนในชุมชนสามารถผลิตแผ่นลามิเนตจากถุง หูหิ้ว เพราะอยากให้กลุ่มผู้สูงอายุที่ ว่างงานมีรายได้เสริมจากกิจกรรมนี้ด้วย ดังนั้นนอกจากทีมวิจัยจะพัฒนาเครื่องอัด ความร้อนที่ใช้งานได้ง่าย มีต้นทุนต่ำ สำหรับใช้ผลิตแผ่นลามิเนตจากถุงหูหิ้ว และเศษผ้าแล้ว ทีมวิจัยยังได้ผลิต ‘กระเป๋าแฟ้ม’ เพื่อเป็นต้นแบบให้คนในชุมชนหมู่บ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 10/2 มีการนำแผ่นลามิเนตจากถุงพลาสติกหูหิ้ว ไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายได้จริง”
คัทธีญา ผาคำ อายุ 58 ปี หนึ่งในสมาชิกกลุ่มรีไซเคิลของชุมชนหมู่บ้าน เอื้ออาทรรังสิตคลอง 10/2 กล่าวว่า ขณะนี้ทางกลุ่มรีไซเคิลจะทำหน้าที่ผลิตแผ่นลามิเนตจากถุงพลาสติก และส่งต่อให้สมาชิกในชุมชนรับไปผลิตเป็นกระเป๋า แล้วส่งกลับมาให้กลุ่มรีไซเคิลจำหน่ายอีกครั้ง โดยผู้ผลิตกระเป๋าจะได้รับค่าตอบแทนใบละ 5 บาท ซึ่งความสามารถในการผลิตที่กระเป๋าก็แตกต่างกันไป ตามอายุ สมรรถภาพของร่างกาย และเวลาว่าง บางคนอาจผลิตได้เพียงวันละไม่กี่ใบ ขณะที่บางคนอาจผลิตกระเป๋าได้ถึง 80 ใบต่อวัน ซึ่งกระเป๋านี้มีราคาขายอยู่ที่ใบละ 40-80 บาท (ขึ้นกับขนาดและรูปแบบ) ถือเป็นการกระจายรายได้ให้คนในชุมชน
สำหรับจุดเด่นของกระเป๋าชนิดนี้ นอกจากความสวยงามของลวดลายแล้ว ยังมีความแข็งแรงและกันน้ำได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันทางเทศบาลรับ ไปจำหน่าย ในกิจกรรมต่างๆ และเริ่มมี หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนเข้ามาสั่งทำกระเป๋าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้แล้ว โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาสามารถเปลี่ยนจากถุงหูหิ้วที่เป็นขยะพลาสติก มาผลิตเป็นกระเป๋าได้ประมาณ 1,000 ใบ สร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้ว 12,000 บาท
ผศ.วรุณศิริ กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของงานวิจัยนี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่การใช้ ‘ข้อมูล-ความรู้’ มาแก้ไขปัญหาให้ชุมชน ทำให้ชุมชนมีทางเลือกในการจัดการขยะพลาสติกที่สร้างมูลค่าได้มากกว่าการเก็บรวบรวมเพื่อขายต่อเท่านั้น
โดยเฉพาะขยะประเภทถุงหรือ ฟิล์มพลาสติกชนิด PP และ PE ที่ไม่สามารถนำไปขายเพื่อการรีไซเคิลได้ให้กลายเป็นของมีคุณค่าและมีมูลค่าเพิ่ม สูงขึ้น ถือเป็นการแก้ปัญหาขยะได้อย่างตรงจุดและช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้อีกด้วย และที่สำคัญคือช่วยสานสัมพันธ์ของคนในชุมชนได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามขณะนี้เพื่อให้การแปรรูปถุงพลาสติกหูหิ้วมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทีมวิจัยกำลังพัฒนาเทคนิค การผลิตแผ่นลามิเนตให้มีคุณสมบัติ ดีขึ้น หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ผ้ากันเปื้อน เสื่อปูพื้น นอกจากนี้ยังมีการหารือกับเทศบาลเมืองปทุมธานี เพื่อขยายแนวคิดเรื่องการมอง ‘ขยะให้เป็นเงิน’ ด้วยการนำขยะพลาสติกมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) ไปสู่ชุมชนในโครงการบ้านเอื้ออาทร และชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดปทุมธานีต่อไป