สยามกีฬา ฉบับวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562
“ฟ้าใส”
ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ปิดฉากลงไปแล้ว แม้ทัพนักกีฬาไทยจะไม่สามารถครองเจ้าเหรียญทองได้ แต่ในหลายๆ ชนิดกีฬานับว่าได้สร้างความสำเร็จมาสู่ประเทศชาติอย่างยิ่งใหญ่
โดยเฉพาะกรีฑา ที่ซีเกมส์หนนี้ได้กลับมากู้ชื่อเสียงกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ ที่น่ายกย่องคือวิ่งผลัด 4×100 เมตรชาย ที่คืนสนามได้อย่างเยี่ยมยอด กอดคอวิ่ง เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 คว้าเหรียญทอง ด้วยเวลา 39.27 วินาที
และหนึ่งในทีมลมกรดชายไทยที่ถือว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญให้ทีม และเป็นดาวรุ่งที่จะก้าวสู่บัลลังก์ลมกรดของไทยในอนาคตอย่าง “มอส” จ่าอากาศตรี บัณฑิต ช่วงไชย ที่นอกจากคว้าเหรียญทองวิ่งผลัด 4×100 เมตรชายแล้วยังคว้าเหรียญทองแดงวิ่ง 100 เมตรชาย มาครองได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
มอส หนุ่มนักวิ่งดาวรุ่งวัย 26 ปี ที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ภูมิลำเนาเป็นคน จ.อุบลราชธานี พ่อทำงานรับจ้างทั่วไป ส่วนแม่นั้นจากไปเมื่อหลายปีก่อน และมีน้องสาวหนึ่งคน ซึ่ง ม.ต้น เขาเรียนที่โรงเรียนบ้านสบสา จ.พะเยา จากนั้นเรียนต่อที่โรงเรียนกีฬา จ.อุบลราชธานี จึงสนใจกีฬาประเภทกรีฑาตั้งแต่นั้นมา กระทั่งจบ ป.ตรี ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
การเป็นนักกีฬาทีมชาติ แม้จะได้รับโควตาหรือเงื่อนไขพิเศษในการเข้าเรียน แต่หากไม่หมั่นฝึกซ้อม พัฒนาตนเองในด้านกีฬาไปพร้อมๆ กับการให้ความสำคัญในด้านการศึกษา แม้จะมีโควตาพิเศษอะไรเข้ามาก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งได้เลย
จุดนี้เองที่มอสมีความตั้งมั่นตั้งใจให้ความทุ่มเททั้งการพัฒนาศักยภาพด้านกีฬา ควบคู่ไปกับการศึกษา เพราะเขารู้ว่าการเล่นกีฬามีขีดจำกัดเรื่องอายุและมีระยะเวลาในการเล่น ส่วนการเรียนรู้นั้นมีความสำคัญต่อชีวิตอนาคต เขาจึงเรียนต่อ ป.โท ที่ มทร.ธัญบุรี ตามคำแนะนำของรุ่นพี่ และเห็นว่าที่แห่งนี้จัดกิจกรรมด้านกีฬาค่อนข้างสม่ำเสมอ สามารถส่งเสริมให้ตนเองได้ฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นต่อไปได้
มอสเล่าว่า ตนเองติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2558 กีฬาซีเกมส์ประเทศสิงคโปร์ ตอนนั้นไม่ได้ลงแข่งเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ จึงได้เป็นตัวสำรอง ถัดมาได้ลงแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย วิ่งผลัด 4×100 เมตร ได้เหรียญทอง ล่าสุดที่ประเทศฟิลิปปินส์ คว้ามาได้ 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญทองแดง
“ความสำเร็จครั้งนี้ผมเชื่อว่าเกิดจากการมีวินัยต่อตนเองทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง เพราะผมมีความเชื่ออยู่ว่า หากต้นทางมีวินัยฝึกซ้อมที่ดีและต่อเนื่อง ปลายทางจะคว้าชัย และประสบความสำเร็จได้แน่นอน”
“การแข่งขันวิ่งผลัด 4×100 เมตร ใช้เวลาแข่งขันเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาที แต่ต้องใช้เวลาซ้อมกันเป็นปี ที่ผ่านมา ผมได้ไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่อเมริกา กาตาร์ และโปแลนด์ ซึ่งได้ร่วมตระเวนแข่งขัน เก็บสถิติเพื่อดึงศักยภาพของตนเองออกมาให้ได้มากที่สุด ตามมาตรฐานการแข่งขันระดับสากล การไปเก็บตัวต่างประเทศดังกล่าวทำให้ได้เจอเพื่อนคู่แข่งที่เก่งกว่าบ้าง สูสีกันบ้าง ถือเป็นประสบการณ์ที่สำคัญ เนื่องจากได้สัมผัสกับประสบการณ์ในระดับโลก”
“บางครั้งการแข่งขันในเวทีต่างประเทศ มีนักวิ่งที่มีชื่อเสียงมากมายแม้ศักยภาพของเรายังไม่เท่ากับเขา แต่เราได้ลงแข่งขันในแมตช์เดียวกันกับเขา จึงได้เรียนรู้วิธีการและเทคนิคของเขา แล้วนำมาใช้พัฒนาตนเองได้”
มอสให้ความสำคัญกับการวางแผน เพื่อแบ่งเวลาให้ทั้งการเรียน และการฝึกซ้อมอย่างมาก
“ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการวางแผน การพูดคุยสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจ เรื่องการซ้อม การเรียน และครอบครัว เป็นเรื่องที่ขนานควบคู่กันอยู่แล้ว แต่เราต้องพูดคุยและหาจุดร่วมระหว่างกันให้ได้ เพื่อให้เกิดความลงตัวและจะทำให้เราสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ภายใต้การตระหนักถึงหน้าที่อันสำคัญของเรา นั่นคือการรับใช้ชาติด้วยการเป็นนักกรีฑาทีมชาติไทย”
“คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมองที่ต้นทางว่านักกีฬาต้องผ่านอะไรมาบ้างต้องซ้อมหนักแค่ไหน ทุ่มเทหนักอย่างไร หรือบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมมากแค่ไหน เพราะเขาจะเห็นเพียวแค่ปลายทาง” และที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้มอสก้าวมาสู่ความสำเร็จก็คือ กำลังใจจากครอบครัว และเสียงเชียร์จากแฟนๆ กีฬาไทย “กำลังใจ และเสียงเชียร์ เสียงปรบมือ คือพลังที่ทำให้เราหายเหนื่อย”
แน่นอนว่า นักกีฬาคนหนึ่งกว่าจะไปยืนแป้นรับเหรียญรางวัลในมหกรรมกีฬาใหญ่ๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งความกดดันจากภายนอกและในจิตใจตัวเอง เขาต้องใช้ความอดทนอย่างหนักทั้งจากการฝึกซ้อมที่หนัก อาการบาดเจ็บ
ความสำเร็จของ บัณฑิต ช่วงไชย ในวันนี้จึงไม่ใช่เกิดจาก “โชคชะตา” แต่เป็นเกิดจากความอดทน ทุ่มเท มุมานะ อุตสาหะของตัวเอง ผสมผสานกับโอกาสอันสำคัญที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย รวมถึงสตาฟฟ์โค้ช เพื่อนๆ พี่ๆ ในทีมกรีฑาไทย กองทัพอากาศ และที่สำคัญ มทร.ธัญบุรี
ส่วนก้าวต่อไป บัณฑิต ช่วงไชย บอกว่า การคว้าโควตาไปโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในปีหน้า คือเป้าหมายที่จะพยายามทำให้สำเร็จเพื่อทำให้คนไทยมีความสุข และจะนำธงชาติไทยไปโบกสะบัดในเวทีแข่งขันระดับโลกให้ได้
Template file :: download-button does not exist!