กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
สร้าง”อีอีซี”โมเดล ผลิตปีละ 2 หมื่นคน
โรงงานในไทยทยอยนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ มาใช้มากขึ้นทำให้แรงงานเดิมต้องอบรมเพิ่มทักษะ
อภิชาต ทองอยู่
กรุงเทพธุรกิจ “สกพอ.” เร่งผลิตบุคลากรป้อนอีอีซีเฉียด 5 แสนคน ใน 5 ปี ดึงเอกชนในพื้นที่มอบทุนการศึกษา เปิดโรงงานฝึกอบรม ปั้นนักศึกษาเกรด A รองรับ 10 อุตฯ เป้าหมาย ปีละ 2 หมื่นคน พร้อมตั้ง 7 ศูนย์ ระดมมหาวิทยาลัย-อาชีวศึกษาผลิตบุคลากร
นายอภิชาต ทองอยู่ ที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และประธานคณะทำงานศูนย์ประสานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) เปิดเผยว่า แนวทางการพัฒนาบุคลากรรองรับการขยายตัว ของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในอีอีซีคาดว่า ภายใน 5 ปี ต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น 470,000 ราย หรือ ต้องการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 100,000 คน
แยกผลิตแรงงาน3กลุ่ม
สำหรับแผนการสร้างบุคลากรนี้ จะร่วมกับ วิทยาลัยอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย เพื่อสร้าง นักศึกษาเข้ามารองรับภาคอุตสาหกรรมแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่ม A จะเป็นการผลิตนักศึกษาแบบ “อีอีซี โมเดล” โดยสถาบันการศึกษาร่วมมือกับ สถานประกอบการในอีอีซี ซึ่งสถานประกอบการ แต่ละแห่งจะระบุชัดเจนว่าต้องการแรงงานกี่คน คัดเลือกนักศึกษาเพื่อเข้าหลักสูตร และร่วมกับ สถาบันการศึกษาคัดเลือกนักศึกษาเข้าโครงการนี้ โดยสถานประกอบการจะออกทุนการศึกษาต่างๆ ให้ทั้งหมดจนจบหลักสูตร นักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้จะมีงานทำ 100% ส่วนสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 200% จากมูลค่าทุนการศึกษาที่ให้สนับสนุน
“ในกลุ่ม A นักศึกษาจะเข้าไปฝึกงานในสถานประกอบการของผู้ให้ทุน เพื่อให้จบออกมามีคุณภาพมาตรฐานการทำงานตามที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสร้างบุคลากรที่มี คุณภาพสูง รองรับความต้องการของภาคเอกชน ได้ทันที โดยโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2561 นักศึกษาชุดแรกจะทยอยจบออกมาในปี 2563 คาดว่าจะมีจำนวน 15,000-20,000 คนต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วน 15-20% ของความต้องการ บุคลากรในแต่ละปีที่มี 1 แสนคน”
ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ สถาบันการศึกษามีการพัฒนาให้สอดรับกับ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว เพราะทำงานร่วมกับสถานประกอบการ อย่างใกล้ชิด และนักศึกษาที่จบออกมา ก็มีความมั่นคงในอาชีพการงาน รวมทั้งสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะพัฒนาได้ต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วม 8 แห่ง และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอีก 46 แห่ง ในจำนวนนี้มี 12 แห่งที่ผลิตนักศึกษาในกลุ่ม A
ดึงโรงงานยกระดับนักศึกษา
กลุ่ม B จะมีการเรียนการสอบแบบทวิภาคี ซึ่งเรียนในห้องเรียนและฝึกงานในสถานประกอบการ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างบุคลากรป้อนให้กับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ต่างจากกลุ่ม A ที่ไม่มีทุนการศึกษาให้ สถานประกอบการเพียงแต่เปิดให้นักศึกษาเข้าไปฝึกงาน ซึ่งจะทำให้นักศึกษามีทั้ง ความรู้จากห้องเรียนและประสบการณ์จริงในการทำงาน จะทำให้นักศึกษาที่จบออกมามีโอกาสในการเข้าทำงานสูงมาก โดยคาดว่าจะผลิตนักศึกษาในกลุ่มนี้ได้ 50,000-60,000 คนต่อปี หรือ 50-60% ของความต้องการแรงงานปีละ 100,000 คน
กลุ่ม C จะเป็นการผลิตนักศึกษาแบบเดิม โดยนักศึกษาที่จบออกมาจะต้องหากที่ฝึกอบรม ฝึกทักษะในด้าน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อให้มีโอกาสการหางานได้สูงขึ้น คาดว่านักศึกษาในส่วนนี้จะมี 20,000 คน หรือคิดเป็น 20% ของความต้องการแรงงานในอีอีซี 100,000 คนต่อปี
ทั้งนี้ สัดส่วนการผลิตนักศึกษาใน แต่ละกลุ่มจะเปลี่ยนไป โดย สกพอ.จะผลักดัน ให้มีสถาบันอาชีวศึกษาเข้ามาร่วมโครงการในกลุ่ม A เพิ่มขึ้น โดยในปีที่ 2 จะเพิ่มผู้ที่จบการศึกษาในกลุ่ม A ปีละ 5-20% มีเป้าหมาย ที่จะผลิตนักศึกษาในกลุ่ม A ให้ได้ 50-60% ของความต้องการแรงงานทั้งหมดในอีอีซี โดยกลุ่ม C จะหมดไป มาเพิ่มในกลุ่ม A และ B มากขึ้น
ผลิตคนป้อน7กลุ่มธุรกิจ
นายอภิชาต กล่าวว่า ปัจจุบันการ สกพอ. เน้นในการผลิตบุคลากรใน 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มดิจิทัล เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัล หุ่นยนต์อุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยกลุ่มที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ซึ่งมีมหาวิทยาลัยบูรพา และวิทยาลัยอาชีวศึกษา รวมทั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจ ดิจิทัล (ดีป้า) เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนสร้างบุคลากรในกลุ่มนี้ ซึ่งในกลุ่มดิจิทัลเป็นกลุ่มที่ต้องการแรงงานมากที่สุด
2.กลุ่มธุรกิจอากาศยาน มีเป้าหมายผลิตบุคลากรป้อนให้กับธุรกิจสายการบิน และการซ่อมอากาศยาน โดยได้ร่วมกับสำนักงาน การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) สายการบินและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ผลิตบุคลากรด้านต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการ ในธุรกิจนี้
3.กลุ่มระบบราง มีเป้าหมายผลิตบุคลากร ป้อนให้กับโครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการรถไฟฟ้า โดยได้ร่วมมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี และสถาบันการศึกษาอื่นในอีอีซี ร่วมกัน สร้างบุคลากรในกลุ่มนี้
ร่วมมือมหาวิทยาลัยในพื้นที่
4.กลุ่มพาณิชย์นาวี จะร่วมมือกับคณะพาณิชยนาวีนานาชาติของมหาวิทยาลัยเกษตร ศูนย์ศรีราชา สร้างบุคลากรด้านการขนส่งทางเรือ รองรับการขยายตัวของท่าเรือมาบตาพุด และ แหลมฉบังที่จะมีการนำเข้า-ส่งออก เพิ่มขึ้นมาก
5.กลุ่มโลจิสติกส์ จะร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และมหาวิทยาลัยอีก 6-7 แห่ง ผลิตบุคลากรด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ช และคลังสินค้า
6.กลุ่มยานยนต์สมัยใหม่ จะร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง และ 7.กลุ่มเชื้อเพลิงและปิโตรเคมี จะร่วมกับวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี
ต่างชาติสนใจเปิดวิทยาเขต
นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศในการผลิตบุคลากรชั้นสูง เช่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) มหาวิทยาลัยโตไก ของญี่ปุ่น และกำลัง เจรจากับสถาบันการศึกษาของเยอรมนี ออสเตรียและจีน รวมทั้งยังมีมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศเข้ามาเปิดสาขาในไทยหลายแห่ง ล่าสุดมหาวิทยาลัย นอตทิงแฮมจากอังกฤษ สนใจมาตั้งวิทยาเขตในอีอีซี โดยมีจุดเด่นด้านแพทยศาสตร์ วิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ ขณะนี้อยู่ระหว่าง การเจรจากับกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนแรงงานเดิมในอีอีซีต้องปรับตัวให้เข้า กับเทคโนโลยีใหม่ โดยผลสำรวจพบว่าโรงงานในไทย 300,000 แห่ง จะทยอยนำระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์มาใช้มากขึ้น คาดว่ามีแรงงานออกนอกระบบเกือบ 70% ดังนั้นแรงงานเดิมต้องอบรมเพิ่มทักษะ โดยดีป้าเปิดหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น 50-60 หลักสูตร