ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561
ทีมข่าววิทยาศาสตร์
วท.ผนึกพลัง 150 สถานศึกษา ตั้ง “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม”
โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม หรือ Fab Lab-Fabrication Lab
แหล่งบ่มเพาะ “นวัตกร” และ “วิศวกร” เพื่อรองรับอนาคตประเทศไทย ที่ตั้งเป้าว่าภายในปี 2565 จะเพิ่มจำนวนนวัตกรและวิศวกรให้เป็น 25 คนต่อประชากร 10,000 คน จากปัจจุบันที่มีเพียง 13 คน เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ได้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ ผลการสำรวจ “ภาพรวมตลาดแรงงานไทยปี 2557” พบว่า วิศวกรเป็นหนึ่งในสาขาอาชีพในประเทศไทย ที่มีจำนวนผู้สมัครไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งสายงานวิศวกรนี้มีความต้องการจ้างงานสูงเป็นอันดับหนึ่ง คือ ร้อยละ 17.1 แต่จำนวนผู้สมัครมีเพียงร้อยละ 6.6 เท่านั้น โดยวิศวกรที่ประเทศไทยขาดแคลนอย่างหนักคือ วิศวกรวิจัย วิศวกรออกแบบและวิศวกรปฏิบัติ/นวัตกร
การสร้าง “นวัตกร” และ “วิศวกร” ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วน
ที่สำคัญการพัฒนาบุคลากร วทน. ซึ่งรวมถึงนวัตกรและวิศวกรจำเป็นต้องเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยมศึกษา เพราะนักเรียนยังมีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการมาก ขณะเดียวกันต้องนำแนวคิดสะเต็ม (STEM) ซึ่งรวมเอา4สาขาวิชาเข้าด้วยกันได้แก่วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) มาใช้ในการสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจตลอดจนพัฒนาความสามารถในการประยุกต์ใช้ศาสตร์เหล่านี้ในการแก้ปัญหาจริงผ่านการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เนื่องจากการเรียนรู้แบบสะเต็มมุ่งเน้นการปฏิบัติและการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ โดยโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในลักษณะนี้ คือ โรงประลองทางวิศวกรรมหรือ Fab Lab
“โรงประลองทางวิศวกรรมที่จะเป็นสถานที่ฝึกการเรียนรู้ ทดลองและลงมือสร้างชิ้นงานต่างๆ ทั้งสร้างหุ่นยนต์ โดรนสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ฯลฯ และนวัตกรรมในรูปแบบใหม่จะจัดตั้งใน 150 สถานศึกษาทั้งระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาทั่วประเทศโดยล่าสุดไปเปิดโรงประลองฯ ที่วิทยาลัยเทคนิคหนองบัวลำภูก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา และทั้ง 150 สถานศึกษาจะต้องสร้างนวัตกรและวิศวกรให้ได้ 15,000 คน และจะต้องได้ชิ้นงานที่ใช้งานได้จริง 150 ชิ้นงาน และชิ้นงานที่ส่งประกวดในระดับภูมิภาค ระดับชาติและนานาชาติ 300 ชิ้นงานที่สำคัญ เด็กและเยาวชนที่อยู่ในโรงประลองต้นแบบฯ จะต้องเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะโลกในปัจจุบันและอนาคต จะเป็นโลกที่นวัตกรรมและเทคโน-โลยีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปรวดเร็วมากการจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเริ่มที่คนต้องมีความคิดสร้างสรรค์ต้องรู้จักหาความรู้ใหม่ๆที่สำคัญต้องลงมือทำ” ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ผู้ริเริ่มการตั้งโรงประลองต้นแบบฯระบุถึงเหตุผลในการก่อตั้งที่มอบ ให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการด้วยงบประมาณ 189.5 ล้านบาท เพื่อทำให้เด็กไทยยุคนี้ ต้องมีความคิดความอ่านด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมีทักษะ
สำหรับโรงประลองฯ สวทช.จะจัดหาอุปกรณ์พื้นฐานในการออกแบบชิ้นงาน ที่นักเรียนสามารถจินตนาการและจัดทำชิ้นงานในรูปแบบ 3 มิติ คือ 3D printer ที่รองรับโปรแกรมออกแบบที่เป็น open source อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เช่น กล้องจุลทรรศน์ เครื่องวัดแสง เครื่องมือพื้นฐานทางวิศวกรรม รวมทั้งเครื่องตัดแบบ laser และบอร์ดสมองกลฝังตัวและอุปกรณ์ตรวจวัด หรือ sensor ให้สถานศึกษาของรัฐที่เป็นโรงเรียนมัธยมะศึกษา วิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ และจัตุรัสวิทยาศาสตร์ภูมิภาคที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 150 แห่ง โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มโรงเรียนที่มีความสนใจ หมายถึงมีคะแนนเฉลี่ยโอเน็ต ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 2.โรงเรียนที่มีความพร้อม 3.วิทยาลัยเทคนิค/อาชีวศึกษาฐานวิทยาศาสตร์ และ 4.จัตุรัสวิทยาศาสตร์ภูมิภาค
และทั้ง 150 โรงเรียนจะมี 10 มหาวิทยาลัย ได้แก่ ธรรมศาสตร์, เชียงใหม่, สงขลานครินทร์, บูรพา, พระจอมเกล้าลาดกระบัง, พระจอมเกล้าพระนครเหนือ, พระจอมเกล้าธนบุรี, ราชมงคลกรุงเทพ, ราชมงคลล้านนาฯ, ราชมงคลธัญบุรี และจะมีการสร้างรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่าง สวทช.มหาวิทยาลัย วิทยาลัยเทคนิค โรงเรียน ให้มีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ประสบการณ์เพื่อขยายผลสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรในอนาคต
“จากการประเมินผลสถานศึกษาในโครงการฯ อาทิ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี พิษณุโลก หนองบัวลำภู เป็นต้น พบว่า มีผลงานการสร้างชิ้นงานที่น่าพอใจ เด็กมีความคิดสร้างสรรค์เยอะมากเพียงแต่ขาดเครื่องมือในการแปลงความคิดสร้างสรรค์ออกมากลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม ปัจจุบันมีโรงเรียนอาชีวะร่วมโครงการ 50 แห่ง ซึ่งอนาคตจะขยายเป็น 400 แห่ง” ดร.สุวิทย์ กล่าว
“ทีมข่าววิทยาศาสตร์” มองว่า โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม น่าจะเป็นคำตอบในส่วนของแหล่งบ่มเพาะชั้นดี สำหรับผลิตวิศวกร และนวัตกรคุณภาพ เพื่อรองรับประเทศไทย 4.0 ในอนาคตอันไม่ไกล
แต่ที่เราอดห่วงไม่ได้และอยากฝากไว้คือการผนึกพลังจากหลายภาคส่วนไม่ใช่เรื่องง่ายที่สำคัญคือความต่อเนื่อง จริงจัง โดยเฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย
คงน่าเสียดาย หากโครงการดีๆที่เริ่มต้นแล้วต้องเกิดอาการสะดุด หรือหยุดชะงักกลายเป็นฝันกลางฤดูฝน.