ไทยรัฐ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
ล้วนต้องใช้พลังงาน ใช้ไฟฟ้าเพราะต้องการแสงสว่าง ชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟน รถยนต์จะขับเคลื่อนได้ก็ต้องใช้น้ำมัน ฯลฯ
แหล่งพลังงานมี 2 ประเภทคือใช้แล้วหมดไป และ พลังงานทางเลือก เช่น ลม แสงอาทิตย์ ปัจจุบันแหล่งพลังงานหลักที่ใช้กันทั่วโลกคือน้ำมัน ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีปริมาณสำรองใช้ได้อีกระยะหนึ่ง รศ.ดร.บุญยัง ปลั่งกลาง ศูนย์วิจัยระบบพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวย้ำในวงเสวนาเรื่อง”พลังงานชุมชน สร้างอนาคตพลังงานไทยอย่างยั่งยืน” ภายในงาน “สานพลังชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” ครั้งที่ 2 ประจำปี 2561 จัดโดย สสส.สุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) และเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่เมื่อไม่นานมานี้
การบริโภคพลังงานของโลกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยทุก 30 ปีเพิ่มเป็นเท่าตัว หากค้นพบพลังงานเพิ่มได้ 10 เท่า แต่ยังบริโภคเหมือนเดิมเราจะมีใช้ได้อีก 100 ปี
ปี 2559 ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุดวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 คิดเป็น 3 หมื่นเมกะวัตต์ ขณะที่ผลิตได้ 4 หมื่นเมกะวัตต์ จะเห็นว่ามีส่วนต่างไม่มากนัก…จึงไม่น่าแปลกใจที่หน่วยงานภาครัฐมีโครงการที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆขึ้น ทว่า…ภาคประชาสังคมไม่เห็นด้วยเพราะมีความเห็นว่า เราสามารถหาพลังงานทางเลือกอื่นๆมาทดแทนได้บางส่วน ดังเช่น…โรงพยาบาลจะนะ ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ผลิตไฟใช้ในช่วงกลางวัน
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ อ.จะนะ จ.สงขลา บอกว่า โรงพยาบาลจะนะเพิ่งติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ 68 แผ่น…ผลิตไฟฟ้าได้ 20 กิโลวัตต์ เมื่อ 3-4 เดือนก่อน มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งครั้งแรกประมาณ 8 แสนบาท…ไม่รวมค่าแรง และคาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 6 ปี
หลังการติดตั้งทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าลง 3.5 หมื่นบาทเดือนที่สองประหยัดได้ 5.4 หมื่นบาท โดยมาจาก 3 มาตรการหลายส่วนนับจากติดแผงโซลาร์เซลล์ เปลี่ยนแอร์บางตัว เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน และ สลับการใช้เครื่องมือแพทย์ ไม่ให้ทำงานพร้อมกัน
หลักการคร่าวๆ “แผงโซลาร์ฯ” บนหลังคารับแสงแดด แล้วเข้าเครื่องแปลงไฟอินเวอร์เตอร์ผสมไฟจากแผงโซลาร์ฯกับไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วันไหนเมฆมาก…ไฟจากการไฟฟ้าเข้าเครื่องอินเวอร์เตอร์มาก วันไหนแสงแดดมาก เราผลิตพลังงานได้เยอะ ไฟจากการไฟฟ้าก็จะเข้ามาน้อย
โรงพยาบาลจะนะใช้ไฟฟ้าสูงสุดช่วงสิบโมงกับบ่ายโมง ตอนเที่ยงใช้น้อยเพราะปิดแอร์ ผู้อำนวยการบังคับให้ปิด ทำให้เห็นว่ากลางวันเราใช้ไฟเยอะ สิ่งที่ควรทำถ้าติดโซลาร์รูฟกลางวัน จะตัดปริมาณการใช้ไฟลงมาเพราะใช้แสงอาทิตย์ช่วย…เวลามีแสงแดดน้อย ตัวแปลงไฟจะใช้ไฟหลวงเยอะ ไม่ต้องห่วงไฟตกดับ โรงพยาบาลไฟฟ้าดับไม่ได้…ห้องฉุกเฉินห้องคลอดมีเจ้าหน้าที่ทำงาน 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นระบบมั่นคง
“ลูกน้องบอกเมื่อก่อนหมอให้ประหยัดไฟ ปิดแอร์ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเขาประหยัดเองโดยอัตโนมัติเพราะผลิตเอง สิ่งที่อยากบอกทุกท่านคือ อยากให้ลอง…แสงอาทิตย์มีความมหัศจรรย์มากจริงๆ ก่อนหน้านี้เราคิดแต่ประหยัดไฟ กดดันกันเองในโรงพยาบาล ไม่เปิดแอร์ พิสูจน์ว่าไม่ได้ผล โลกมันร้อนทำงานกันไม่ไหว พอเราเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อประหยัดไม่ไหวก็หาวิธีสร้างพลังงาน ติดแผงโซลาร์ฯ ดีกว่า “นพ.สุภัทรว่า
ย้ายขึ้นเหนือไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลปงเตา (อบต.ปงเตา) อ.งาว จ.ลำปาง มีปัญหาที่ต่างออกไปด้วยสภาพชุมชน อยู่ติดกับป่าไผ่มีพื้นที่ 5,000 ไร่เป็นป่าชุมชนต้นแบบ ชาวบ้านดูแลกันเองตัดไม้มาใช้สอย
ในพื้นที่มีโรงงานแปรรูปจากไม้ไผ่ 10 แห่ง ทำเป็นตะเกียบ ไม้จิ้มฟัน ไม้ปิ้งปลาดุก แปรรูปได้ 150 ลำต่อโรงต่อวัน หรือ 1,800 กิโลกรัมต่อโรงต่อวัน มีเหลือเศษทิ้งจำนวนมาก ที่ผ่านมา ชาวบ้านกำจัดเศษไม้เหลือทิ้งด้วยการเผา ทำให้เกิดฝุ่นควัน มีก๊าซอันตราย เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และเงื่อนปัญหาก็วกกลับมาที่คนในชุมชน…มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
อบต.จึงร่วมกับชุมชนหาแนวทางแก้ไข มีมติเห็นว่าควรมีการจัดการพลังงานแทนการเผาทิ้ง ได้ข้อสรุปว่าทำเป็น “ถ่านอัดแท่ง” ปิยะสันต์ ปัญจขันธ์ วิศวกรโยธา อบต.ปงเตา บอกว่า ช่วงที่แปรรูปสูงสุดโรงงานใช้ไม้ไผ่แห่งละ 150 ลำ…ลำหนึ่งๆยาวราว 12 เมตร จะมีส่วนที่ใช้ประโยชน์เพียง 12 เปอร์เซ็นต์ อีก 88 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นข้อ…เศษไม้เหลือทิ้ง เมื่อก่อนชาวบ้านแอบเผาทิ้งตอนกลางคืนเกิดปัญหาหมอกควัน สุดท้ายส่งผลกระทบต่อเขาเอง สูดดมเข้าไป ชาวบ้านมีปัญหาระบบทางเดินหายใจตั้งแต่ปี 2554
“ก่อนหน้านี้ทาง อบต.มีโครงการทำระบบไฟฟ้าชีวมวล โดยทำประชาคมหมู่บ้าน 13 แห่งแล้ว ชาวบ้านเห็นด้วย แต่ต่อมารัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย ทาง อบต.จึงต้องหาแนวทางใหม่”
ปิยะสันต์ บอกว่า เราได้ปรึกษากับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มหาวิทยาลัยพะเยา และสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปาง จนเกิดเป็นโครงการถ่านอัดแท่งจากไม้ไผ่ เพื่อแก้ปัญหาเศษไม้ไผ่เหลือทิ้ง ทั้งยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย…สมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มทำถ่านอัดแท่งจากไม้ไผ่สามารถยืมอุปกรณ์ไปใช้โดยมีเงื่อนไขว่าทุก 1 เดือนต้องส่งผงถ่านให้กลุ่ม 100 กิโลกรัม และกลุ่มรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 3 บาท
น่าสนใจว่าโครงการถ่านอัดแท่งทำให้การเผาเศษไม้ไผ่ในชุมชนลดลงไปได้มากทีเดียว ตอนนี้เศษไม้ไผ่ไม่ใช่เศษขยะอีกต่อไป หากแต่เป็นวัตถุดิบสำหรับนำมาผลิตถ่าน รายที่ไม่ทำถ่านก็ขายเป็นเศษไม้ก็ยังมีผู้รับซื้อกิโลกรัมละ 50 สตางค์
ความคืบหน้าล่าสุด…ปัจจุบันมีการเผาถ่านจากเศษไม้ไผ่เหลือใช้ประมาณ 15 ตันต่อวัน ผลิตเป็นถ่านได้ 700 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แต่โดยศักยภาพของอุปกรณ์ที่มี ทำให้กลุ่มผลิตได้ปริมาณข้างต้น และจำหน่ายในลักษณะพรีออเดอร์สั่งจองกันล่วงหน้า
“เราผลิตได้เท่านี้ จ้างสมาชิกทำให้ค่าแรงวันละ 300 บาท เตาเผาเต็มประสิทธิภาพ ส่วนเศษไม้ไผ่ที่เหลือ เราบอกชาวบ้านว่าไม่ต้องเผาและติดต่อให้คนมาซื้อ”
ลงลึกในรายละเอียดเชิงปฏิบัติ ชาวบ้านที่ต้องการเป็นสมาชิกกลุ่มต้องซื้อหุ้น หุ้นละ 100 บาท โดยจะได้สิทธิ์ดังนี้ 1.สามารถยืมถังซึ่งเป็นอุปกรณ์ขั้นต้นในการผลิตถ่านไปใช้ 2.กลุ่มรับซื้อถ่านราคา 3 บาทต่อกิโลกรัม 3.กลุ่มรับซื้อเศษไม้ราคา 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม
4.ปลายปีมีเงินปันผลหุ้นให้ 5.หากกลุ่มมีเงินหมุนเวียนมากพอ จะจัดสวัสดิการให้สมาชิก
“ถ่านอัดแท่งมีประสิทธิภาพดีกว่าถ่านทั่วไป สมมติถ่านทั่วไปใช้เผาได้ 1 ชั่วโมง แต่ถ่านอัดแท่งใช้ได้ถึง 3 ชั่วโมง แม้ว่าราคาจะสูงกว่านิดหน่อยแต่ก็คุ้มกว่า นับเป็นพลังงานจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่แก๊ส ไม่ใช่ไฟฟ้า”
เอ๊ะๆยังไงกัน…ฟากฝั่งประชาชน ชุมชนพยายามปั้นดินให้เป็นดาวหยิบจับ “พลังงานทางเลือก” มาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่งคั่ง มั่นคงด้านพลังงานของประเทศ แต่อีกฟากหนึ่งเสมือนผลักยันให้ตกเหวด้วยข่าวว่านโยบายภาครัฐ กระทรวงพลังงาน? จะไม่รับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์
“ไม่รับ” ก็แปลว่า “ไม่สนับสนุน”…”ไม่ส่งเสริม” เข้าใจง่ายๆ พยายามทำหมันพลังงานทางเลือกหรืออย่างไรกัน ฝากถึงท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ ช่วยลงมาคลุกวงในตรวจสอบด่วน
พลังงานไฟฟ้ายิ่งใช้กันมากขึ้นๆทุกวี่วัน สวนทางกับปริมาณที่ผลิตได้ หรือว่ามีใครบางกลุ่ม? บางคน? หวังสุดท้ายปลายทางจะพึ่งโรงไฟฟ้าถ่านหิน จะเอาถ่านหินให้จงได้…เป็นคนใหญ่มีอำนาจวาสนาบารมีล้นเหลือแล้วไม่กลัวอะไรก็ระวังบาป…ระวังกรรมตกถึงลูกๆหลานๆกันบ้างนะโยม.