แนวหน้า ฉบับวันที่ 02 เมษายน พ.ศ. 2561
อารยธรรมของมนุษย์นั้น “พลังงาน” เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ยิ่งมนุษย์พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกไปมาก ยิ่งต้องหาพลังงานมาใช้มากขึ้น ปัจจุบันพลังงานที่มนุษย์นำมาใช้หลักๆ คือ “น้ำมัน- ก๊าซธรรมชาติ” ตั้งแต่ในโรงไฟฟ้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนเข้าสู่บ้านเรือนและภาคธุรกิจต่างๆ รวมถึงเป็นเชื้อเพลิง ในยวดยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ แต่ขณะเดียวกัน ด้วยความที่กังวลกันว่าเชื้อเพลิงชนิดดังกล่าว “อาจหมดไปจากโลก ในอนาคตไม่ช้าก็เร็ว” ทำให้มนุษย์ต้องเร่งหาแหล่งพลังงานอื่นๆ มาทดแทนเพื่อลดการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติลง
“การบริโภคพลังงานของโลก เพิ่มขึ้นทุกปี โดยทุก 30 ปีเพิ่มเป็นเท่าตัว หากค้นพบพลังงานเพิ่มได้ 10 เท่า แต่ยัง บริโภคเหมือนเดิม เราจะมีใช้ได้อีก 100 ปี”เป็นคำกล่าวของ รศ.ดร.บุญยัง ปลั่งกลางศูนย์วิจัยระบบพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (คลอง 6 ปทุมธานี) ในการเสวนาเรื่อง “พลังงานชุมชน สร้างอนาคตพลังงานไทยอย่างยั่งยืน” ภายในงาน “สานพลังชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งสู่เป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืน” ครั้งที่ 2 ประจำปี 2561 ซึ่งจัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเร็วๆ นี้
อาจารย์บุญยัง กล่าวต่อไปว่า ปี 2559 ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุดวันที่ 11 พ.ค. 2559 คิดเป็น 3 หมื่นเมกะวัตต์ (MW) ขณะที่ผลิตได้ 4 หมื่น MW หรือสรุปง่ายๆ “ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงใกล้เคียง กับความสามารถในการผลิตได้” ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หน่วยงานภาครัฐพยายามจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆ ขึ้น เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ทว่าก็ต้อง พบกับการคัดค้านจากประชาชน เนื่องด้วย ภาคประชาชนนั้นเห็นว่า “บางส่วนมีทางเลือกอื่น” หรือการนำ “พลังงานทดแทน” มาใช้ ซึ่งในหลายพื้นที่ก็มีตัวอย่างที่น่าสนใจ อาทิ
“โรงพยาบาลจะนะ” อ.จะนะ จ.สงขลา ที่นี่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และแปลงแสงแดดมาใช้ทดแทนไฟฟ้าบางส่วน ในช่วงกลางวัน โดยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลแห่งนี้ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจเล่าว่า แม้ รพ.จะนะ เพิ่งติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ไป 68 แผ่น ผลิตไฟฟ้าได้ 20 กิโลวัตต์ เมื่อ 3-4 เดือนก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งครั้งแรกประมาณ 8 แสนบาท ที่ยังไม่รวมค่าแรงช่าง และคาดว่ากว่าจะคุ้มทุนคงใช้เวลาอีกราว 6 ปี
แต่ผลที่ได้พบว่า ลดค่าใช้จ่าย ในการใช้ไฟฟ้าลงในเดือนแรก 3.5 หมื่นบาท และเดือนที่สองประหยัดได้เพิ่มขึ้นเป็น 5.4 หมื่นบาท ได้ผลดีกว่าการทำเพียงประหยัดพลังงานอย่างเดียว ซึ่งการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาเสริมนั้นทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศบางตัว เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน และสลับการใช้เครื่องมือแพทย์ไม่ให้ทำงานพร้อมกัน ทำให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างยืดหยุ่น ในวันที่แดดแรงก็ใช้พลังงาน แสงอาทิตย์เพราะผลิตพลังงานได้มาก วันไหนแดดไม่แรงมีเมฆมากก็ใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าตามปกติ โดยไม่มีปัญหาไฟตก
“ลูกน้องบอกเมื่อก่อนหมอให้ประหยัดไฟปิดแอร์ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง เขาประหยัดเองโดยอัตโนมัติ เพราะผลิตเอง สิ่งที่อยากบอกทุกท่านคือ อยากให้ลองๆ แสงอาทิตย์มีความมหัศจรรย์มากจริงๆ ก่อนหน้านี้เราคิดแต่ประหยัดไฟ กดดันกันเองในโรงพยาบาล ไม่เปิดแอร์ พิสูจน์ว่าไม่ได้ผล โลกมันร้อน ทำงานกันไม่ไหว พอเราเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อประหยัดไม่ไหวก็หาวิธีสร้างพลังงาน ติดแผงโซลาร์ ดีกว่า” นพ.สุภัทร ระบุจากใต้ขึ้นไปเหนือ เป็นที่ทราบกันดี ว่าต้นปีทีไรภาคเหนือมีปัญหา “หมอกควัน- ไฟป่า-ฝุ่นละออง” เป็นเทศกาลประจำ สาเหตุ สำคัญมาจากการ “เผาเศษวัสดุเหลือใช้ ทางการเกษตร” แม้ระยะหลังๆ ภาครัฐส่วนท้องถิ่นจะทั้งรณรงค์ทั้งจับปรับกันจริงๆ จังๆ แต่ปัญหาก็แทบไม่ได้ลดลง ซึ่งอีกมุมก็เข้าใจและเห็นใจ “หากไม่มีวิธีอื่น ที่ถูกและคุ้มค่ากว่า” ชาวบ้านเขาก็ยังคงจะเผาต่อไป
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปงเตา อ.งาว จ.ลำปาง ในอดีตก็เป็น ส่วนหนึ่งที่ร่วมก่อมลพิษด้วยเช่นกัน เพราะ ที่นี่มีโรงงานแปรรูปจากไม้ไผ่ 10 แห่ง สำหรับทำเป็นตะเกียบ ไม่จิ้มฟัน ไม้ปิ้งปลาดุก แปรรูปได้ 150 ลำ/โรง/วัน หรือ 1,800 กก./โรง/วัน โดยไม้เศษเหลือทิ้งจำนวนมากถูกนำไปกำจัดด้วยการเผา ทำให้เกิดควันก๊าซอันตราย เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ มลพิษที่ก่อขึ้นได้ย้อนกลับไปสู่คนในพื้นที่ที่อาศัยทำมาหากินกับโรงงานนี้เอง เพราะหลายคนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ
ปิยะสันต์ ปัญจขันธ์ วิศวกรโยธา อบต.ปงเตา เล่าว่า ไม้ถูกนำมาแปรรูปใช้จริงเพียงร้อยละ 12 เท่านั้น ส่วนอีกร้อยละ 88 เป็นเศษไม้เหลือทิ้ง ก่อนหน้านี้ชาวบ้านมักนำไปเผากันตอนกลางคืน และเริ่มปรากฏจำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2554 ทาง อบต. จึงนำปัญหาไปปรึกษากับ 2 สถาบันการศึกษาในพื้นที่และใกล้เคียง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางกับมหาวิทยาลัยพะเยา รวมถึงที่สำนักงานพลังงานจังหวัดลำปาง ได้ข้อสรุปว่า “ถ่านอัดแท่ง” คือทางออก นำไปสู่การหารือร่วมกับชุมชน และเห็นพ้อง กันว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางนี้
การดำเนินงานของกลุ่มถ่านอัดแท่ง ชาวชุมชนต้องซื้อหุ้นโดยขายหุ้นละ 100 บาท ผู้เข้าร่วมจะได้สิทธิดังนี้ 1.สามารถยืมถังซึ่งเป็นอุปกรณ์ขั้นต้นในการผลิตถ่านไปใช้ 2.กลุ่มรับซื้อถ่านราคา 3 บาท/กก. 3.กลุ่มรับซื้อเศษไม้ราคา 50 สตางค์/กก. 4.ปลายปีมีเงินปันผลหุ้นให้ 5.หากกลุ่มมีเงินหมุนเวียนมากพอ จะจัดสวัสดิการให้สมาชิก การทำเช่นนี้ทำให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม เกิดความหวงแหนไม่เผาเศษไม้เพราะสามารถนำของเหลือทิ้งมาเป็นพลังงานได้
“สมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มทำถ่านอัดแท่ง จากไม้ไผ่ สามารถยืมอุปกรณ์ไปใช้ โดยมี เงื่อนไขว่าทุก 1 เดือน ต้องส่งผงถ่านให้กลุ่ม 100 กก. และกลุ่มรับซื้อในราคา กก. 3 บาท จากโครงการดังกล่าวทำให้การเผาเศษไม้ไผ่ในชุมชนลดลง เพราะตอนนี้เศษไม้ไผ่ไม่ใช่เศษขยะอีกต่อไป หากแต่เป็นวัตถุดิบสำหรับนำมาผลิตถ่าน รายที่ไม่ทำถ่านก็ขายเป็นเศษไม้ มีผู้รับซื้อ กก.ละ 50 สตางค์” ปิยะสันต์ ระบุ
วิศวกรประจำ อบต.ปงเตา กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีการเผาถ่านจากเศษไม้ไผ่เหลือใช้ประมาณ 15 ตัน/วัน ผลิตเป็นถ่านได้ 700 กก./วัน ซึ่งไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของตลาด แต่โดยศักยภาพ ของอุปกรณ์ที่มี ทำให้กลุ่มผลิตได้เพียงปริมาณข้างต้น และจำหน่ายในลักษณะ สั่งสินค้าล่วงหน้า (Pre-Order) จ้างสมาชิกทำให้ค่าแรงวันละ 300 บาท เตาเผาเต็มประสิทธิภาพ ส่วนเศษไม้ไผ่ที่เหลือ เราบอกชาวบ้านว่าไม่ต้องเผา และติดต่อให้คนมาซื้อ
“ถ่านอัดแท่งขายส่ง กก.ละ 12 บาท ทางกลุ่มขายปลีก กก.ละ 15-20 บาท ประสิทธิภาพของถ่านอัดแท่งดีกว่าถ่านทั่วไป สมมติถ่านถั่วไปใช้เผาได้ 1 ชั่วโมง ตัวนี้ใช้ได้ 3 ชั่วโมง แต่ราคาจะสูงกว่า นิดหน่อย สิ่งที่ อบต.ทำเพื่อจะบอกว่า ยังมีพลังงานจากแหล่งอื่น ซึ่งไม่ใช่แก๊ส หรือไฟฟ้า” ปิยะสันต์ กล่าวทิ้งท้ายอนึ่ง..นอกเหนือจากการประหยัดพลังงาน-ลดมลพิษแล้ว ทั้ง 2 กรณียังพบจุดที่เหมือนกันคือ “เป็นโครงการที่ริเริ่มกันเองในพื้นที่” ไม่ใช่มาจากการสั่งการ จากส่วนกลาง โครงการลักษณะนี้จุดเด่นคือ “คนทำเป็นคนในพื้นที่ และคนในพื้นที่ รู้ปัญหาดีที่สุด” อีกทั้ง “รู้สึกเป็นเจ้าของ” จึงดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากแนวคิดแบบนี้ได้รับการขยายผลไปทั่วประเทศ..คงจะดีไม่น้อย!!!