5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ‘สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ’ ได้ประกาศผลรางวัลนวัตกรรมประจำปี ซึ่งมีทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ที่กระวานสนใจ คือ ‘รางวัลนวัตกรรมข้าวไทย’ ซึ่งมีการส่งประกวดผลิตภัณฑ์ 39 ชนิด โดยทั้งหมดเป็นการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ‘ข้าว’
โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศของปีนี้คือ ‘ครีมเคลือบเงาอเนกประสงค์ จากน้ำมันรำข้าวอินทรีย์’ ส่วนที่ได้รางวัลระดับรองลงมา คือ ครีมบำรุงผิวจากเนยข้าว แบรนด์ ‘โคลัมบัส’ และสังขยาแผ่นจากแป้งข้าวกล้องงอก แบรนด์ ‘คาญ่า’ โดย รศ.ดร.กมลวรรณ แจ้งชัด และคณะ จากคณะอุตสาหกรรมการเกษตร
ในแผ่นพับ ระบุว่า ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยคล้ายกับแผ่นชีส มีส่วนผสมประกอบด้วยแป้งข้าวกล้องงอกร่วมกับไฮโดรคอลลอยด์ ให้กลิ่นและสีจากใบเตยและแครอท ผลิตภัณฑ์ตัวนี้สามารถรับประทานได้ทันที คู่กับขนมปังแผ่นหรือรับประทานแยกต่างหาก ร่วมกับชา กาแฟ
กลับมาที่ครีมเคลือบเงาจากน้ำมันรำข้าวอินทรีย์
พรทิพย์ ตั้งกีรติ บริษัท อู่ข้าว อู่น้ำ จำกัด ผู้ทำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแปรรูปจากข้าวมากมายหลายชนิด ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของครีมเคลือบเงาตัวนี้ ซึ่งเธอบอกว่าเป็น ‘เครื่องสำอางรถยนต์’ เพราะลูกชายเปิดอู่คาร์แคร์ ก็เลยคิดทำสินค้าโปรโมทอู่ให้ลูก เนื่องจากครอบครัวมีโรงงานผลิตเครื่องสำอางและเครื่องดื่มจากข้าวอยู่แล้ว
“คิดว่ารถเป็นปัจจัยที่ห้า พอไปล้างอัดฉีดรถกลับมาหงุดหงิดเพราะมีกลิ่นสารเคมี คนเรายังใช้เครื่องสำอาง รถยนต์น่าจะใช้ของดีๆ ที่ทำจากสารธรรมชาติ เพราะเราต้องอยู่ในรถ หากใช้เคมีมีสารตกค้าง เราทำเครื่องสำอางอยู่แล้ว น่าจะทำเครื่องสำอางรถยนต์ได้”
นั่นเป็นที่มาของแรงบันดาลใจ และเริ่มผลิตตอนต้นปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเป็นกากฟองน้ำมันรำ (บางคนเรียกตะกอน) ที่ได้จากกระบวนการหีบเย็น ซึ่งเดิมไม่ได้ใช้ประโยชน์ นอกจากใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยในฟองน้ำมันรำข้าวยังมีวิตามิน สาร Gamma-Oryzanol และป้องกันรังสียูวี ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นนั้น ป้องกันการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ภายในรถยนต์ โดยเฉพาะเบาะหนัง และคอนโซลหน้า ส่วนที่ว่าเช็ดครั้งหนึ่งจะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นานเท่าไร ขณะนี้อยู่ในช่วงการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
“เราใช้นวัตกรรมเครื่องจักรการผลิต ผลิตให้เป็นแวกซ์ สร้างเงา ทดลองโดยแจกจ่าย ลูกคนโตทำอู่รถยนต์คาร์แคร์ แจกลูกค้าที่มาใช้บริการ ฟีดแบ็คดี ลูกค้ากลับมาขอซื้อ บอกกลิ่นในรถชื่นใจ หอมกลิ่นข้าว และปลอดภัยไร้สารพิษ… ในแง่ความเป็นนวัตกรรมมูลนิธิข้าวไทยบอกเป็นรายแรกของโลก ยังไม่มีใครผลิตมาก่อน และสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิ่งเหลือทิ้ง เอาเทคโนโลยีการผลิตจับใส่เข้าไป ทำให้มีมูลค่าเพิ่มร้อยเท่า ราคาขาย 80 บาท เราต้องการให้คนได้ใช้ของดี ราคาถูก”
กากฟองน้ำมันรำข้าวที่ใช้เป็นวัตถุดิบนั้น เธอรับซื้อจากเครือข่ายนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเดิมขายกิโลกรัมละ 20 บาท แต่เธอไปบุกตลาดทำให้ราคาพุ่งขึ้นเป็น 80 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว
“แถวอีสานปลูกเยอะ แต่ไม่มีแหล่งขาย ดิฉันไปรับซื้อมา ส่วนที่ได้มาจากขั้นตอนการสีข้าวกล้องเป็นข้าวขาวแล้วเกิดรำละเอียด ก่อนหน้านี้มีการนำน้ำมันรำข้าวผสมเครื่องสำอาง ส่วนตัวนี้เหลือทิ้ง แต่ตอนนี้เราไปกว้านซื้อทุกเครือข่าย ส่วนที่อยุธยาเพิ่งทำข้าวอินทรีย์
เป็นปีที่สอง…
“เราปลูกข้าวกินเองตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยา ท่านรณรงค์ไว้ให้ทำนาอินทรีย์ ปลูกข้าวกินเอง ท่านดำริว่าคนอยุธยาน่าจะทำคำขวัญให้เป็นจริง ที่บอกว่าราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ น่าจะจับเอาความดีของข้าว มาสร้างมูลค่าให้มากสุด เป็นเกษตรยุคใหม่.ที่บ้านทำโรงสีข้าว เรามีความรู้เรื่องข้าว เรามีโรงสีข้าว โรงงานผลิตอาหารเครื่องดื่มและเครื่องสำอาง ทั้งหมดทำจากข้าว เพราะอยุธยาเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เราภูมิใจในข้าวไทย”
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าว ซึ่งใช้แบรนด์ Tip อาทิ ครีมบำรุงผิวสูตรน้ำนมข้าวและข้าวหอมนิล, แป้งน้ำนมข้าว (ใช้ทาหน้า), ครีมบำรุงน้ำนมข้าว, สบู่น้ำนมข้าว / สบู่ข้าวหอมนิล, น้ำมันจมูกข้าวหอม (บำรุงผม) เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คุณพรทิพย์ไม่ได้ทำคนเดียวค่ะ แต่มีลูกๆ อีก 3 คน ซึ่งจบด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร และสาธารณสุข มาช่วยคุณแม่ต่อยอดความรู้ โดยคนหนึ่งดูแลกระบวนการผลิต อีกคนรับผิดชอบด้านการตลาด สินค้าทั้งหมดวางขายที่ ‘อยุธยา พาวิลเลียน’ จุดพักรถสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน
“ยอดขายดีค่ะ เป็นอีกช่องทางของการแปรรูปจากข้าว จากของไม่มีค่า มาสร้างมูลค่าเพิ่มอีก 3-4 เท่า..หาประโยชน์จากข้าวมากที่สุด ต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าข้าวไทยมีวิตามินสูง”
ส่วนคนที่ไม่นิยมแนวเครื่องสำอาง คุณพรทิพย์มีข้าวอนามัยให้หัดบริโภคข้าวกล้อง เป็นข้าวหอม 3 สามพันธุ์ ประกอบด้วยข้าวหอมมะลิแดง-ดำ และขาว)ถุงละ 2 กิโลกรัม ราคา 60 บาท วางจำหน่ายที่อยุธยา พาวิลเลียน เช่นกัน
สนใจสอบถามได้ที่ โทร.08-3003-0003